เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดในวงการฟุตบอลประเทศอาร์เจนตินา เนื่องจาก อเลฮานโดร ซาเบยา อดีตนักเตะและผู้จัดการทีมฟ้าขาว จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดในวัย 66 ปี ซึ่งถือเป็นการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญของประเทศอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเสียชีวิตของ ดิเอโก มาราโดนา ราชาลูกหนังอาร์เจนไตน์เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
แม้จะไม่เทียบเท่าเสือเตี้ย แต่ซาเบยาก็ถือเป็นนักเตะคนสำคัญของทีมชาติอาร์เจนตินาที่ค้าแข้งอยู่ในช่วงปี 70 ถึงปลายยุค 80 เจ้าตัวแจ้งเกิดกับ ริเวอร์เพลท ในตำแหน่งกองกลาง ก่อนจะย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 1987 กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ขณะนั้นเพิ่งจะปฏิเสธการเซ็นสัญญากับมาราโดนาไปหมาดๆ
กระทั่งปี 1980 ลีดส์ ยูไนเต็ด จัดการคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ก่อนที่หนึ่งปีต่อจากนั้นเจ้าตัวตัดสินใจกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดกับ เอสตูเดียนเตส เด ลา พลาตา และไปแขวนสตั๊ดที่เม็กซิโก กับทีมอิราปัวโตในปี 1989
เส้นทางการเป็นกุนซือ ซาเบยาเริ่มต้นจากการเป็นมือขวาของ ดาเนียล พาสซาเรลลา ที่ริเวอร์เพลท จากนั้นยังคงติดตามนายเก่าที่ย้ายไปคุมทีมชาติอาร์เจนตินาลุยศึกฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 94 ที่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายจากการพ่ายต่อโรมาเนีย รวมถึงปี 98 ที่พลาดท่าพ่ายต่อฮอลแลนด์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
หลังไม่ประสบความสำเร็จกับทีมฟ้าขาว เขายังคงรับงานเป็นมือขวาของพาสซาเรลลาต่อ โดยเข้าเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติอุรุกวัยในปี 1999 ถึง 2001
ซาเบยาเริ่มต้นการเป็นกุนซือแบบเต็มตัวกับสโมสรเอสตูเดียนเตสในปี 2009 จนกระทั่งในปี 2011 เจ้าตัวตอบรับงานคุมทีมชาติอาร์เจนตินา โดยรับไม้ต่อจาก ดิเอโก มาราโดนา ที่พาทีมฟ้าขาวจอดป้ายที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกปี 2010 ด้วยการพ่ายต่อเยอรมนีขาดลอยถึง 0-4 ด้วยกัน
กระทั่งฟุตบอลโลกปี 2014 ซึ่งเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวในฐานะนายใหญ่หัวหมู่ทะลวงฟันให้กับทีมบ้านเกิด ที่ต้องบอกว่าอาร์เจนตินาในยุคนั้นแบกรับความคาดหวัง รวมถึงถูกตั้งคำถามอย่างมากถึงผลงานที่ไม่เคยไปถึงฝั่งฝันเหมือนในยุค 70-80 ที่ทีมเคยเป็นแชมป์โลกถึง 2 สมัย ทั้งที่พวกเขามีแข้งเบอร์ 1 ของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี อยู่ในทีม
ในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาทะลุผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ด้วยการชนะ 3 เกมรวด จากผลงานของเมสซีคนเดียวที่ยิงไปถึง 4 ประตู กระทั่งผ่านสวิตเซอร์แลนด์ในรอบ 16 ทีม, เบลเยียม รอบ 8 ทีม รวมถึงฮอลแลนด์ในรอบ 4 ทีมสุดท้าย จนต้องโคจรมาพบกับเยอรมนี คู่รักคู่แค้นที่ 3 ครั้งหลังสุดที่เจอกันในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ทัพอินทรีเหล็กเป็นฝ่ายชนะและเขี่ยอินทรีฟ้าขาวตกรอบไปทั้งหมด
และก็อย่างที่ทราบกัน เกมนั้นเป็นอีกครั้งที่ทีมของ โยอาคิม เลิฟ เป็นฝ่ายเอาชนะไปแบบฉิวเฉียด จากประตูชัยของซูเปอร์ซับ มาริโอ เกิตเซ ในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 113 ดับฝันของทั้งซาเบยา, เมสซี รวมถึงแฟนบอลที่เทใจเชียร์อาร์เจนตินาไปแบบหมดสิ้น เพราะทุกคนต่างคาดหวังว่าปีนี้จะได้เห็นทีมฟ้าขาวอันเป็นที่รักกลับสู่จุดที่ควรจะเป็นได้อีกครั้ง รวมถึงจะได้เห็นสตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี ผงาดชูถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ อย่างยิ่งใหญ่ และจะได้พูดอย่างเต็มปากว่าเขาคือแข้งเบอร์ 1 ของโลกตลอดกาลอย่างแท้จริง!